คุณรู้ไหม ทำไมบางคนดึงหน้าแล้วไม่ได้ผล ทุกคนที่จะทำดึงหน้า ก็หวังจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ย้อนวัยแบบชัดเจนใช่ไหมครับ แต่ทำไมบางคนทำแล้ว รู้สึกได้ผลน้อยหรือไม่ได้ผล มันเกิดจากอะไรได้บ้าง วันนี้หมอจะมาเล่าให้ฟัง
1. การประเมิน
การประเมิน อันนี้หมอหมายถึง ทั้งสองฝ่าย คือ ศัลยแพทย์และตัวคนไข้เอง
ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่า การดึงหน้าได้ประโยชน์ในแนวของด้านข้างของใบหน้า คือถัดจากจมูก ตา ปาก ไปแล้ว เพราะฉะนั้นความตึงที่จะเกิด ไม่ใช่ส่วนกลางใบหน้า เช่น หว่างคิ้ว ใต้ตา แก้มส่วนชิดขอบจมูก ริมฝีปากเองโดยตรง ใต้ริมฝีปาก คางด้านหน้า
และเราต้องรู้ก่อนว่า ถ้าเราหย่อนน้อย การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก็จะน้อย เป็นต้น ส่วนทางหมอเองที่ประเมิน ก็ต้องอธิบายคนไข้ว่าสิ่งที่จะทำมันเปลี่ยนตรงไหนได้บ้าง คนอายุ 30 ปลายๆ 40 ต้นๆ อาจหย่อนน้อยๆ แค่ดึงหน้าส่วนบน ทำดึงขมับ หรือ Mini Face Lift ก็จะเป็นแก้ม ส่วนบน ขอบหางตา ร่องแก้มบางส่วนนะที่ดีขึ้นได้ อาจจะย้อนวัย ไป สัก 5 ปี ก็ย่อมไม่เหมือนคนอายุ 60-70 ขึ้นไป ทำ Full Face Lift อาจจะย้อนได้ 10-20 ปี
ทั้งนี้ก็แล้วแต่ความหย่อนคล้อย รวมถึงความหนา ความนิ่ม ของผิวหนังด้วยนะครับ หลายๆครั้งหมอเอง ประเมินจากรูปที่ปรึกษา ยังมักจะนัดให้คนไข้มาเจอตัวจริง ตรวจเนื้อเยื่อผิวหนังหน่อย อันนี้สำคัญมาก ความคาดหวังและความเข้าใจต้องทราบก่อนจะไปผ่าตัดนะครับ ถ้าใครยังไม่ได้ประโยชน์ จากการผ่าตัดหมอก็จะบอกเลยอย่าเพิ่งทำโดยเฉพาะคนสมัยนี้ดูแลตัวเองความหย่อนคล้อยก็มาช้าลงมากนะครับ บางคนอายุ 50 กว่า ยังไม่ควรทำเลยครับ หมอก็จะบอกไปตรงๆ
2. เทคนิคการผ่าตัดดึงหน้า
เมื่อประเมินแล้วว่าจะได้ประโยชน์ จากการทำดึงหน้าในระดับต่างๆ จนถึง แบบ Full Face Lift นั้นจะทำให้เกิดประโยชน์จริง เทคนิคการผ่าตัดต้องรู้ plane ทั้ง ด้านบนใต้ผิวหนัง ซึ่งปัญหามักอยู่ที่การเลาะไม่ถึงระยะที่จะได้ประโยชน์
นั่นคือมันจะมีเอ็นยึดผิวหนังในหลายๆจุดไว้กับโครงสร้างใบหน้าเช่นกล้ามเนื้อส่วนลึกหรือจริงๆมาจากกระดูก เอ็นพังผืดเล็กๆเหล่านี้แหละ มักจะอยู่ตามรอยต่อระหว่างผิวหน้าที่อยู่ ตรงด้านหน้าเมื่อเรามองหน้าตรง กับส่วนที่เริ่มเป็นด้านข้าง เอาง่ายๆคล้ายๆกับมุมที่จะตกเหวลงไปน่ะครับ จุดเหล่านี้เป็นจุดที่ทางหมอผิวหนังหรือหมอที่ไม่ใช่ศัลยแพทย์ พยายามจะไปทำอะไรกับมัน เช่น พยายามใช้ ฟิลเล่อร์หรือ injectable ต่างๆ ไปพยุงหรือยืดมันขึ้นนั่นเอง แล้วบอกว่าเกิดการยกกรอบหน้า ส่วนเมื่อหน้าเริ่มเหี่ยวมันจะเหมือนจัดยึดไว้แต่รอบๆมันห้อยลง
ถ้าการผ่าตัดไม่สามารถเลาะ จุดนี้ให้ free ขึ้นได้ หรือ เลาะเลยจุดนี้ไปอย่างถูก plane ไม่หลงไปทำลายเส้นประสาท นั้น ถึงจะยกผิวหนังได้อิสระ และได้ผลในระดับต่างๆ ไม่ค่อยมี หมอคนไหน พูดให้คนไข้ฟังนะครับในประเด็นนี้ ส่วนใหญ่จะพูดแต่เรื่อง ยกกี่จุด กี่ระดับ แต่ไม่พูดว่ายกมาไกลขนาดไหน ถ้าเลาะมาแต่ด้านข้างๆ แต่ไม่กล้าผ่านจุดนี้มาซึ่งมันต้องใช้ความเข้าใจและประสบการณ์ ผิวที่อ้อมมาด้านหน้าจะไม่เปลี่ยนแปลงเลยครับ เช่น ร่องแก้ม มุมปาก เหนียงใต้คอ
นอกจากนี้การเลาะชั้น ใต้ smas ที่บอกว่า เรายก high เรายก extended แต่ไม่ไกลพอที่จะยืดแผ่เขาได้ ซึ่งชั้นใต้ smas นี่แหละ จะเป็นชั้นที่อยู่ของเส้นประสาทเลี้ยงกล้ามเนื้อหน้า จึงต้องระวังมากๆ และถูกชั้น layer จริงๆ ก็จะไม่ได้ผลครับ และในบางราย ไม่ค่อยได้เลาะยกขึ้นจริงๆใช้วิธีเย็บย่นเข้าหากัน (plication) อันนี้จะไม่ค่อยได้ผลครับ
3. การวางจุดเย็บจุดเชื่อม
การวางจุดเย็บจุดเชื่อมให้ไม่ธรรมชาติ หรือไม่สวยงาม เรื่องนี้เป็นประสบการณ์และรสนิยมของแพทย์แต่ละท่านด้วยครับ ที่สำคัญต้องวางให้รูปหน้าเป็นธรรมชาติ ไม่ชี้ ไม่เอียง ไม่เท่ากัน หรือดูแปลกๆไป เป็นต้น คงมีหลายคนที่ถูกมองว่าทำดึงหน้าแล้วหน้าแปลก ก็มักจะเป็นจากสาเหตุนี้
4. การฉีดสารเหลว หรือการร้อยไหม
การฉีดสารเหลวหรือ การร้อยไหมมาก่อนหน้านี้ ถ้าเป็นการฉีด filler แท้ คือรับรองทางการแพทย์ถูกต้องเป็น pure hyaluronic acid ฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางแล้ว ก็มักจะไม่เป็นปัญหานะครับ มักจะสลายไมได้ ไม่มีผลกับการผ่าตัดดึงหน้า ยกเว้นการฉีดสารเหลวที่เป็นสารแปลกปลอม เช่น น้ำมันต่างๆ ซิลิโคนเหลว และอื่นๆ ที่จะเกิด พังผืดในหน้าและไม่สลายไป รวมทั้งคล้อย หรือก่อการติดเชื้ออักเสบได้ จะเป็นปัญหา โดยเฉพาะคนที่ฉีดมาค่อนข้างเยอะ อาจจะทำให้ทำดึงหน้าไม่ได้นะครับ นอกจากจะเปลี่ยนรูปไม่ได้ยังอาจเกิดปัญหาแทรกซ้อนเยอะ เช่น เลือดออกผิกปกติ อักเสบติดเชื้อ ผิวหนังตายเพราะเส้นเลือดไม่มาเลี้ยง รูปหน้ายิ่งผิดปกติไปมากขึ้น อย่างนี้เป็นต้น จึงต้องให้ประวัติจริงๆกับแพทย์ ด้วยนะครับ
ส่วนการร้อยไหม ก็เช่นกัน ถ้าเป็นไหมที่ละลายไปได้จริงๆ ก็อาจมีผลน้อย แต่พวกนี้ จะมีผลบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ เพราะจะเกิดพังผืดในชั้นใต้ผิวหนังทำให้ plane ระหว่างชั้นผิวหนังกับ ใต้ผิวหนังมันติดกัน ทำให้การผ่าตัดยากขึ้น เลาะยากขึ้น ผลที่เกิดจากการยืดตึงได้ของผิวหนังจะลดลง ยิ่งร้อยมาเยอะ หรือการร้อยทองหรือโลหะที่ไม่สลายไป อันนี้ยิ่งลำบาก หรือทำไม่ได้นะครับ
5. ผลแทรกซ้อนหลังผ่าตัด
การเกิดผลแทรกซ้อนหลังผ่าตัด เช่น เลือดออกมากผิดปกติ เป็นก้อนเลือด ถ้า detect ไม่ได้ ปล่อยไว้เมื่อหายเองอาจเกิดพังผืด หรือสีคล้ำอยู่นานมาก หรือไม่หายไป
การเกิดอันตรายต่อเส้นประสาท ทำให้หน้าเบี้ยวไป การติดเชื้อ หรือมีผิวหนังตายบางส่วน ทำให้ส่วนนั้นเป็นแผลเป็น หรือดึงรั้งผิดรูป การเกิดผมร่วง เป็นวงกว้างจนเสียบุคลิก ซึ่งถ้าเป็นจุดที่มีผม แต่เลาะ ชั้นผิด บางไป ไปโดนรากผม ก็จะเกิดปัญหาได้อย่างที่เห็นใน สื่อ รีวิว บางอันที่พยายามเอามาให้เห็นนะครับ
6. แนวแผล
เรื่องแผลนี้คงไม่เกี่ยวโดยตรงกับความตึง แต่เป็นเรื่องการเห็นแผล โดยเฉพาะในคนเอเชีย ที่โอกาสเกิดแผลเป็นมากกว่าฝรั่ง ถ้าวางแผลเพื่อตึง อย่างเดียว ไม่คำนึงถึงการซ่อนแผล เอาว่าให้ตึงตรงๆเลย เช่น จะยกขมับ ยกหางตา ก็วางแนวแผลยาว ตามขอบผม หน้าจอนมาเลย มันตึงครับ แต่จะเห็นแผลยาวเกินไปเมื่อหาย ซึ่งในรีวิวมักจะ ปิดผ้าพันแผล เปิดแต่ หางตาที่ตึงไว้ หรือเอาผมปิด เป็นต้น หรือหลังหู ลงแผลมาต่ำเกินไปหรือ ไม่ชิดกับขอบหลังหู ห่างออกมา เพราะกลัวจะเลาะไม่ถึงคอด้านล่าง มันก็จะเห็นแผลได้ง่ายเมื่อหาย โดยเฉพาะเมื่อเกิดแผลเป็นด้วย ซึ่งเหล่านี้เป็รายละเอียด ที่แพทย์ ต้องคำนึงถึงให้คนไข้ด้วยนะครับ
หมอจึงขอฝากไว้เพื่อความเข้าใจในสิ่งที่เราจะทำเพื่อผลลัพธ์ที่ต้องการ และเป็นธรรมชาติด้วย ศัลยกรรม เราต้องเลือกนะครับ คนไข้เลือกหมอ หมอเองก็ต้องรู้จักเลือกคนไข้ด้วยไม่ใช่จะทำทุกคน เพื่อให้เกิดประโยชน์ที่สูงสุดครับ
รับชมคลิป ทำไมดึงหน้าแล้วไม่ได้ผล
ใครอยากปรึกษามีปัญหาคาใจ ทุกคำถาม..เรามีคำตอบ ส่งรูปประเมินส่วนตัวมาได้ ตามลิงก์ด้านล่าง หมอจะประเมินให้เองทุกคน