ดึงหน้า คืออะไร น่ากลัวไหม เหมาะกับใครบ้าง บทความนี้มีคำตอบ!
ทุกคนคงทราบว่า เมื่อเรามีความหย่อนคล้อยของใบหน้าที่อายุเรามากขึ้น ก็ย่อมอยากจะดึงมันกลับไว้ที่เดิม แต่กลัว ถ้าคำตอบคือ ทำได้! ดีมีประโยชน์ ไม่หลอกตา เด็กลงชัดเจน 10-20 ปี และไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดคุณว่าดีไหมครับ
ดึงหน้า เหมาะกับใครบ้าง ?
แน่นอน การผ่าตัดดึงหน้าก็ต้องเหมาะกับคนที่เริ่มมีความหย่อนคล้อยของใบหน้าซึ่งมีหลายระดับ และการผ่าตัดก็มีหลายระดับตอบโจทย์คุณเช่นกัน ซึ่งจะเห็นว่าบางคนเริ่มมีความหย่อนคล้อยตั้งแต่อายุ 30 ปี ปลายๆ เป็นต้นไปครับ แต่อาจเฉพาะ จุดเล็ก ซึ่งเราก็จะทำจุดเล็กๆกัน นะครับ
ดึงหน้า คืออะไร มีทั้งหมดกี่แบบ ?
การผ่าตัดดึงหน้าคือ การยกกระชับใบหน้าแบบ ตัดหนังส่วนเกินออกแล้วดึงกระชับให้ตึง แต่เร ดึงทั้งสองชั้นหรือมากกว่านั้น คือ ชั้นผิวหนัง และ ชั้นกล้ามเนื้อ SMAS หรือกล้ามเนื้อบางๆ ชั้นใต้ผิวหนังที่เราใช้แสดงสีหน้าและอารมณ์ นั่นเอง
ซึ่งชั้นกล้ามเนื้อ SMAS เป็นชั้นที่ การกระชับใบหน้าทางอ้อม ด้วยเครื่องมือ และวิทยาการหลายอย่างพยายามมาทำงานกับชั้นนี้ให้กระชับ แต่เนื่องจากเป็นแค่ทางอ้อม ผลก็ได้แบบอ้อมๆ แต่การผ่าตัดคือ จัดการโดยตรงผลก็โดยตรงและชัดเจน โดยนอกจากจะเลาะยกชั้นผิวหนังขึ้นเพื่อแผ่ให้ตึงแล้วยังยกชั้นนี้ขึ้นด้วย และดึงขึ้นให้ตึง เย็บตัดส่วนเกินบ้างก่อนจะดึงเก็บผิวหนังคลุมทับอีกครั้งก็จะยิ่งได้ความเนียนธรรมชาติกลับมาแบบเนียนๆ เช่นกัน
โดยปกติ คนเราจะเริ่มมีความหย่อนคล้อยไล่จากบนลงล่าง นั่นคือ ใบหน้าส่วนบน แก้มบน มาถึงร่องแก้ม หน้าส่วนล่าง ค่อยลงมาใต้คาง และคอในที่สุด การผ่าตัดดึงหน้าก็มีระดับไล่ลงมาเช่นกัน คือ
- ระดับบน คือ การทำ Temporal Lift (การดึงขมับ) หมอเคยเขียนในบทความ ศัลยกรรมดึงหน้า ดึงขมับ เหมาะกับใคร น่ากลัวอย่างที่เขาว่ากันจริงหรือเปล่า?
- หางตา แก้มส่วนบน อาจมาถึงร่องแก้มยิดหน่อย คือ การทำ Mini Face Lift (Temporal + Upper Face)
- ใบหน้า ส่วนล่าง และร่องแก้ม ร่องข้างๆริมฝีปาก คือ การทำ Anterior Face Lift
- ใต้คาง (เหนียง) หรือลำคอ อันนี้เรียกการทำ Full Face Lift
ทีนี้มาดูรายละเอียดการดึงหน้าแต่ละแบบกันครับ
1. การดึงขมับ Temporal Lift
Temporal lift แผลจะอยู่ในผมช่วงขมับแค่นั้น หายแล้วก็มักไม่เห็นรอยใดๆ โดยต้องมีเทคนิคการลงแผลให้ทำลายรากผมน้อยที่สุด และไม่ต้องตัดผมหรือโดนผมใดๆ อันนี้เราจะเลาะอยู่บนเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อขมับ ซึ่งเป็นชั้นที่ไม่มีเส้นเลือดใดๆ ลอกออกง่าย
โดยการทำระดับ ดึงขมับนี้อาจมีการประยุกต์มาใช้ดึงหางตา หางคิ้วได้ด้วย แต่อาจต้องมีแผลเจาะเล็กตรงไรผมสัก 2-3 cm เพิ่ม เพื่อเลาะชั้นใต้ผิวหนังบริเวณขมับและหางคิ้ว ให้เป็นอิสระ แล้วเชื่อมเป็นแผ่นเดียวกัน กับหนังศีรษะเหนือเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อที่บอก และสามารถยืดดึงออก รวมทั้งเย็บสลิงหางคิ้วกับเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อขมับนี้ได้โดยตรง ซึ่งเป็นจุดแข็งแรง และได้ผล คุณก็จะได้ Eagle eyes ตามแฟชั่น ที่นิยมกันไปได้ในตัวด้วย และสิ่งที่เกิดขึ้นคือ แผล ในผมเส้นหนึ่ง และไรผมอีกเส้นเล็ก 2-3cm บวมน้อย 1-2 สัปดาห์ ตัดไหม และพบปะผู้คนได้ตั้งแต่ สามสี่วันไปครับ
2. Mini Face Lift
การทำ Mini face lift นี้ เส้นแนวแผลก็จะต่อลงมาจากหนังศีรษะส่วนขมับ มาขอบบนหน้าหู และต่อลงมาอยู่บนขอบติ่งหน้าหูหรือ Tragus โดยหมอจะไม่ลงที่หน้าหู ทำให้เมื่อหาย เส้นนี้ก็เกือบไม่เห็นโดยเฉพาะในผู้หญิงหรือคนที่มีจอนปกติ แผลนี้สามารถให้เราเลาะทั้งชั้นผิวหนังใบหน้าส่วนบน และลงเกือบถึงร่องแก้ม รวมทั้งชั้นกล้ามเนื้อ SMAS ด้วย และดึงขึ้นพร้อมกันเย็บในตำแหน่งที่สูงขึ้น หนังเกินก็ออกแบบการวางให้เรียบดี แล้วเย็บแผล การทำแบบนี้ สามารถทำในคนที่เริ่มหย่อนคล้อยเฉพาะด้านบนถึงร่องแก้ม สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเส้นแผลขีด บางๆตรงขอบหน้าหูด้านบนเท่านั้น แต่ตึงมาถึงร่องแก้มได้เลยทีเดียว
3. Anterior Face Lift
การดึงหน้าแบบนี้ จะใช้กับคนที่มีความหย่อนคล้อยมาถึงใบหน้าส่วนล่าง หรือใต้คางเล็กน้อย เส้นแนวแผลก็จะต่อลงมาอยู่ในร่องขอบหูถึงติ่งหู อาจอ้อมไปหลังหูนิดหน่อย เพื่อเก็บมุมกรอบหน้าบริเวณกราม ซึ่งเราก็ดึงทั้งสองชั้นเช่นเดิม แต่ทำได้กว้างและอิสระขึ้นอีก ตึงชัดลงมาถึงกรอบหน้า ที่อยากได้กันครับ
4. Full Face Lift
Full face lift นี้ดึงในคนที่หย่อนคล้อยทั้งหมด ใบหน้า และลำคอ เส้นแผลก็จะอ้อมไปด้านหลังชิดขอบหู และอาจขยายไปในผมด้านหลังหูหรือขอบไรผมหลังหู ซึ่งก็เป็นแนวซ่อนแผลที่ไม่ค่อยเห็นอีกเช่นกันเมื่อหาย การทำนี้ทำให้เราเลาะได้กว้าง และอิสระทั้งใบหน้าและลำคอ และทั้งสองชั้นผิวหนังและกล้ามเนื้อ และดึงตึงได้ทั้งหมดเป็นอันหนึ่งอันเดียวชิ้นเดียวกัน ไม่หลอกตา การดึงหน้าแบบไม่ดูหลอกตานี้สำคัญมาก
ดึงหน้าอย่างไรให้ดูเป็นธรรมชาติ ?
มันคือการออกแบบการวางจุดเชื่อมจุดเย็บ ที่ต้องรู้แนวและเส้นธรรมชาติ ซึ่งหมอแต่ละคนก็มีแนวการมองไม่เหมือนกัน เทคนิคเล็กๆน้อยๆ ที่ต่างกันนั้นเองจึงจะเห็นได้ว่าใครทำแล้ว ดูเป็นธรรมชาติหรือไม่ และไม่ตึงมากเกินไปจนเกิดลักษณะดึงรั้งรวมทั้งแผลเป็นอาจเกิดขึ้น จึงต้องเลือกแพทย์ให้ดี ที่ถูกต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ เราอาจมีภาพติดตาว่าเคยเห็นคนทำมาแล้วหน้าแปลกๆ แต่อย่าลืมว่าก็มีคนที่ดูเด็กลงชัดเจน และเราก็เห็นว่าเขาดีขึ้นจริงๆ นั่นก็อาจทำผ่าตัดมาแต่ทำมาดีเหมาะสม และคนเหล่านี้ก็เดินผ่านเราไปมาทุกวันโดยที่เราไม่รู้สึกอะไร ถ้าเราอยากเป็นแบบนั้นก็ต้องเลือกแพทย์ เลือกสถานที่ที่ดีครับ แล้วเข้ามาปรึกษากันก่อนเพื่อดูว่ารายละเอียดของเราเป็นอย่างไรควรทำแบบไหน
ดึงหน้าไม่หน้ากลัวอย่างที่คิด
ทั้งหมดนี้ จึงเห็นได้ว่าการดึงหน้า ไม่ได้น่ากลัวเท่าที่คิด และผลลัพธ์ที่ได้ เกิดการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่มาก โดยปกติถ้าทำเฉพาะ Temporal หรือ Mini Face Lift อาจไม่ต้องดมยาสลบ ฉีดยาชา และกลับบ้านได้เลย ส่วน Anterior และ Full Face Lift นั้น ถ้าทำแบบดมยาสลบได้จะดีกว่า ทำให้ทำผ่าตัดได้ดี อิสระและเลือดออกน้อยเพราะควบคุมการหยุดเลือดได้ดี
ดึงหน้า บวมช้ำเยอะไหม ?
ปกติแล้ว การดึงหน้าเป็นการผ่าตัดที่บวมช้ำน้อย ตัดไหมใน 1-2 สัปดาห์ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ในมือของผู้เชี่ยวชาญนะครับ ถ้าทำแบบดมยาสลบนอนรพ. 1 คืน ดูอาการหลังดมยา อาจมีสายระบายเลือดซึ่งไม่ค่อยจะมีออกสักเท่าไรนะครับในรายที่ทำ ดึงคอด้วย
บทสรุปเรื่องดึงหน้า
การผ่าตัดดึงหน้านั้น มีแผล ขอบตามแนวธรรมชาติ ของร่องหูและไรผม ซึ่งระยะของแผลแล้วแต่โจทย์ ว่าต้องทำแค่ไหน แต่สิ่งที่ได้คือเปลี่ยนแปลงแบบชัดเจนโดยตรง ไม่ต้องอ้อมค้อม ยิ่งหย่อนมาก การเปลี่ยนแปลงก็จะยิ่งชัดเจนมาก หลังการผ่าไม่ใช่การผ่าตัดที่ เจ็บปวดมากครับ ดูแลตัวเองได้ง่ายๆครับ อาจมีผ้าพันแผลอยู่ 24-48 ชม. เท่านั้น
และสิ่งที่เราสามารถทำร่วมกันเพื่อเสริมผลลัพธ์ ให้ Perfect มากขึ้นคือการ ฉีดไขมันระดับไมโคร หรือ Microfat Lipofilling นะครับ ก็จะช่วยเติมเต็มส่วนกลางของใบหน้า เช่น หน้าผาก (ทำให้อาจไม่ต้องดึงหน้าผากเลย) ใต้ตา (ร่องน้ำตา) , ร่องแก้ม (ส่วนที่เหลือจากการดึง), ร่องรอบปากหรือขอบคาง เพื่อปรับกรอบหน้าอีกระดับหนึ่ง และยังได้การทำงานของ stem cell จากไขมันของเราเอง ออกมาทำงานกับผิวหนังได้ ทั้งตึงทั้งคุณภาพผิวใสขึ้นมากๆในตัว ได้เวลามาย้อนวัยกันเยอะๆแล้วล่ะครับ
ใครอยากปรึกษามีปัญหาคาใจ ทุกคำถาม..เรามีคำตอบ ส่งรูปประเมินส่วนตัวมาได้ ตามลิงก์ด้านล่าง หมอจะประเมินให้เองทุกคน